แอบก็อบมาอ่านเอง จะได้อ่านง่ายๆ

15

# โศกนาฏกรรมรัก (ของหมอ-พยาบาล) ณ โรงบาลบ้านนอก # ตอนที่ 15 #

เท้าความเดิมจากตอนที่แล้ว ... ระหว่างทางที่ขับรถอยู่ จู่ๆผมก็ถามเธอขึ้นมาว่าแต่งงานกันมั้ย ...

เธอ ... แต่งงานกันมั้ย? ... ผมถามเธอไป ระหว่างที่ขับรถไปเที่ยวกัน
ขอคิดก่อน ... เธอตอบว่าขอคิดก่อน แต่เดาว่าเธอคงไม่ได้คิดด้วยซ้ำตอนที่ตอบแบบนี้มา
ทำไมล่ะ? บอกได้มั้ย? ผมถามต่อ
ก็ ... เอ่ ... ยังไม่ถึงเวลาทีมั้ง ... เธอตอบ
อื้ม ... ถ้างั้นก็ไม่เป็นไร ... ผมตอบ
ไม่โกรธเค้านะ ... เธอถามต่อ
อ้าว ... จะโกรธได้ไง แฟนอุตส่าห์ไม่แต่งงานด้วย ... ผมยียวนกลับไป
555 ... เราทั้งสองคนหัวเราะพร้อมกั
...
..
.
หลังจากนั้นราวๆครึ่งเดือนต่อมา ...ช่วงเวลาดึกๆคืนหนึ่ง
... เธอ ... เป็นไรป่าว ... เห็นนอนละเมอ ... นังโหดปลุกผมตอนกลางคืน
เปล่า ... ผมตอบแบบง่วงๆ และรู้สึกเพลียๆ
ก่อนหน้านั้นอยู่เวรแบบคอมโบ 5 วันติดไม่ค่อยได้หลับยาวๆซักเท่าไหร่ มีเคสทั้งกลางวันกลางคืน คืนนี้เป็นคืนที่ไม่ได้อยู่เวร ได้ปลดเปลื้องความเหนื่อยล้าซักหน่อย

... รุ่งเช้า ...
เธอ ... ตื่นได้แล้ว จะแปดโมงแล้ว ... นังโหดปลุกผม
อือ ... ผมตอบไปแต่ไม่ได้รู้ตัวซักเท่าไหร่ จนหลับไปต่อ
... 5 นาทีต่อมา ...
เป็นไรรึเปล่า ... ตัวร้อนจี๋เลย ... ไปทำงานไหวมั้ย ... เธอถามต่อ แต่ผมก็ไม่ได้ตอบ เพราะไม่ค่อยมีสติ มันลอยๆแปลกๆ

เป็นไงบ้าง ... นังโหดถามไปพร้อมกับเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้
เธอ ... กินยาพาราก่อน ... เธอบอกและยื่นยากับน้ำมาให้
ตอนนั้นก็กินยากินน้ำแล้วก็สติหายไปอีก
รู้ตัวอีกที ราวๆ 11 โมง ... หันไปหันมา มีข้าวต้มตั้งอยู่กับน้ำแก้วนึง และมีกระดาษเขียนไว้ว่า ... กินข้าวแล้วกินยาด้วยนะ ตื่นแล้วโทรหาด้วย ... เป็นห่วงนะ
พออ่านเสร็จก็เอาข้าวมากินได้สองสามคำ กินยาแล้วก็นอน สติก็หายไปอีก

เธอ ... ไหวรึเปล่า ... นังโหดมาปลุก
อือ ... ดีขึ้นหน่อยแล้ว ... ผมบอก
ให้เอายาอะไรมาให้มั้ย ยังตัวร้อนอยู่เลย ... เธอบอก
ไม่ต้องหรอก ... แล้วลาป่วยให้แล้วยัง? ผมถามต่อ เพราะตามธรรมเนียม หมอมักจะไม่ค่อยลาป่วย ยกเว้นลุกไม่ไหวจริงๆ
บอกให้แล้ว พี่หมอผัวเมีย ไม่ว่าอะไร บอกให้พักผ่อนก่อน ... เธอบอก
กี่โมงแล้ว? ผมถามต่อ เพราะไม่รู้เวลาเลย
เกือบบ่ายโมงแล้ว เค้าพักถึงบ่ายครึ่งนะ ... เธอตอบ
แล้วกินอะไรยัง? ... ผมถาม
เดี๋ยวค่อยไปหากินก่อนหมดเวลา ... นอนเถอะ ... เธอตอบ
ขอนอนหนุนตักหน่อยสิ ... ได้มั้ย ... ผมขอ
แหม่ ... พอไม่สบายแล้วได้ใจใหญ่เลยนะ ... เธอตอบ แต่ก็ขยับมาแล้วก็เอาหัวผมไปหนุนตักเธอ
... ขอบคุณนะ ... ผมตอบ แล้วก็หลับไปอีกครั้ง

รู้ตัวอีกทีตอนเกือบๆจะ หกโมงเย็นเพราะเธอเอาข้าวเข้ามาให้กิน แล้วสงสัยจะปิดประตูแรงไปหน่อย เลยเกิดเสียงดังปลุกผม
... อ้าว ขอโทษนะ เราทำเสียงดังปลุกเธอเหรอ ... เธอบอก
ไม่เป็นไหรหรอก เหงื่อออกตัวเหนียวหมดแล้ว ... กลับมานานแล้วเหรอ? ผมถามเธอ
ก็ลงเวรสี่โมงครึ่ง กลับมาแล้วก็ทำกับข้าวเพิ่งเสร็จเนี่ยแหละ ... เธอตอบ
แล้วเธอกินอะไรแล้วยัง? ผมถาม เพราะยังไม่ได้เห็นเธอกินเล
กินก่อนเถอะ ... เดี๋ยวเราค่อยกิน ... เธอตอบ
ไม่เอาอ่ะ มากินด้วยกันเลย ไม่งั้นไม่กิน ... ผมต่อรอง นานๆมีโอกาสต่อรองซักที
ได้ใจเชียวนะ ... งั้นรอแปปนึง ... เธอบอก วางจานข้าว แล้วก็เดินลงไปตักข้าวของตัวเองมากินด้วยกัน

ต้องอย่างนี้สิ กินคนเดียวไม่อร่อยเลย ... ผมบอก
กินสิ ... กินได้มั้ย? เธอถามต่อ
ไม่ไหวอ่ะ ไม่มีแรงกินเลย ยกช้อนข้าวไม่รอด ... ผมตอบไป กะว่าเธอป้อนให้แหง เวลานี้อัตราต่อรองสูง
กินไม่ได้ ก็ไม่ต้องกิน ... เธอตอบแล้วก็กินไปเรื่อยๆ
หิวอ้ะ หิวอ้ะ หิวอ้ะ ... ไม่มีคนป้อนข้าว ... ผมพูดลอย
... ไม่มีสัญญาณตอบกลับ
อร่อยมั้ยอ่ะ อยากกินบ้าง แต่ไม่มีแรง ... ผมพูดต่อ
โตแล้วนะ ... เธอพูดสั้นๆ
... เออๆ กินเองก็ได้ ... ผมตอบแล้วก็หยิบจานข้าวมากินเอง
กินให้หมดนะ ... เดี๋ยวถูหลังให้ ... เธอพูดออกมา
... หือ? ... ผมตอบแล้วก็รีบกินข้าว แล้วก็กินยา ... แล้วก็ ...


..
.
แต่วันที่มีความสุขก็เหมือนว่าจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว
...
และแล้ววันที่เราต้องแยกจากกันก็มาถึงจนได้

ผมยังยืนยันในคำเดิมคือว่าจะย้ายแน่ๆ เพราะอยากถ่ายรูปใจจะขาด รวมถึงอยากได้บรรยากาศใหม่ๆ โรงพยาบาลที่จะย้ายไปก็ใกล้บ้านผมมากกว่า

ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะพยายามหาเหตุผลอะไรมากมาย แต่ก็คิดว่าน่าจะยังไม่ดีพอ
จึงได้ตัดสินใจยื่นคำขอย้าย ไปโดยที่ไม่ได้บอกเธอซักคำ แค่เกริ่นๆไว้เมื่อนานมาแล้

คำขอย้ายได้รับการอนุมัติอย่างรวดเร็ว และในเวลาไม่นานคำสั่งให้ย้ายก็มาถึง

ความรู้สึกแปลกๆที่ไม่เคยคิดว่าผมจะมีก็เกิดขึ้น

..
.
กลัว ...

กลัวว่าแยกกันแล้วเธอจะไม่รัก กลัวเธอจะลืม กลัวเอจะมีแฟนใหม่ ...
กลัวว่าย้ายไปแล้วที่ใหม่จะไม่มีความสุขเหมือนที่นี่ … ที่นี่อยู่จนอะไรอะไรมันลงตัวแล้วด้วยสิ
กลัวว่าประวัติศาสตร์ที่เคยเลิกกับแฟนคนก่อนจะซ้ำรอย
และกลัวอีกหลายๆอย่าง

ทั้งๆที่เป็นคนคิดเอง ตัดสินใจเองแท้ๆ

เพราะเมื่อก่อน ผมคิดอยู่เสมอว่าอยู่คนเดียวได้ อยู่ที่ไหนก็ได้ กินอะไรก็ได้ งานหนักงานเบาก็ไม่หวั่น ตำสอนที่พ่อแม่สอนมายังฝังอยู่คือให้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน พึ่งพาคนอื่นให้น้อยที่สุด ต่อให้โลกนี้ไม่เหลือใคร เราก็ต้องอยู่ให้ได้

แต่วันนี้กลับมาผูกชีวิต ติดกับผู้หญิงคนหนึ่ง ... คนที่รู้จักกันไม่ถึงปี
แฟนคนอื่นไม่เคยเป็นแบบนี้ ห่างก็ห่าง เลิกก็เลิก ทนไม่ได้ก็ไม่ต้องทน
...
วันนี้ชีวิตมันเปลี่ยนไป
...
แต่ไม่สามารถหันหลังกลับได้แล้ว ตัดสินใจจะมาทางนี้แล้ว ก็ต้องไปให้สุดและต้องทำให้ดีที่สุด อย่าให้คนอื่นว่าเอาได้
...
เธอ ... นังโหด ... รู้ก่อนที่จะย้ายไม่ถึง 1 เดือน

เป็น 1 เดือนที่อึมครึมมาก ถ้าใครเคยแยกกันกับแฟนจะรู้ดี
เป็น 1 เดือนที่ไม่ใช่ว่าจะทะเลาะกันนะ เรียกว่าไม่ทะเลาะกันเลยจะดีกว่า
เป็น 1 เดือนที่เราจะได้อยู่ร่วมกันใต้ชายคาเดียวกันแบบนี้ และไม่รู้เมื่อไหร่จะได้มาอยู่ใต้ชายคาเดียวกันอีกครั้

ช่วงนั้น พยายามทำความเข้าใจกัน และพยายามใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมากที่สุด พยายามถ่ายทอดความรักไปให้อีกฝ่ายหนึ่งให้มากที่สุด เพื่อจะได้ไปทดแทนได้บ้างในวันที่ต้องแยกจากกัน

... แต่ ดูเหมือนว่ายิ่งเติมเท่าไหร่ ยิ่งว่างเท่านั้น และ ตามมาด้วยความกลัวว่าจะไม่ได้รับมันอีก
และพอยิ่งกลัวก็กลับไปยิ่งเติม และผลลัพธ์มันก็ยิ่งกลัวกว่าเดิม กลายเป็นวงจรอุบาทว์ไป
...

คืนสุดท้ายที่ได้อยู่ด้วยกัน แทบจะไม่ได้นอนกันเลย
พูดคุยกันทั้งคืน ตามมาด้วยข้อสัญญาและคำสั่งแปดแสนเจ็ดหมื่นข้อ จากฝ่ายหนึ่งให้อีกฝ่ายหนึ่
เพราะนี่จะเป็นสิ่งยึดเหนี่ยว เมื่อยามที่ต้องแยกจากกัน
...
วันรุ่งขึ้น เก้าโมงเช้า
รถกระบะสำหรับย้ายของก็มาถึง ...

น้ำตาหยดแรกของเธอหลั่งออกมา ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยแม้แต่ร้องไห้ให้เห็นสักครั้ง
แต่เธอก็ยังยิ้มอยู่ และส่งผมขึ้นรถโดยดี

ผมรู้ว่ามันคงจะเจ็บปวดมาก และเธอคงต้องปรับตัวใหม่ๆอีกหลายๆอย่างอีกครั้ง
...

พอเดินทางมาถึงโรงบาลแห่งใหม่
เอาของลง พยายามจัดของเข้าที่เข้าทางแบบง่ายๆก่อน
แล้วก็โทรหาเธอ

เวลานี้โทรศัพท์น่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่สุดยอดที่สุด ทำให้เราได้ยินเสียงกันและกัน และสามารถสื่อกันได้แม้จะห่างกัน

แต่ ... อยากเห็นหน้าของเธอ ... อยากได้กลิ่นเรือนผมของเธอ ... อยากสัมผัสเธอ ...

การที่จะมามัวคิดแบบนี้ไม่ได้ช่วยให้อะไรๆดีขึ้นแม้แต่น้อย จึงพยายามทำตัวให้ยุ่งมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
และการมาอยู่ที่ใหม่ๆ ทำให้สามารถทำใจยอมรับได้ง่าย

แต่ถ้าไปมองในมุมของเธอ ... เธอยังอยู่ในที่ที่ยังมีความทรงจำของเราสองคนอย่างมหาศาล
บ้านพักที่เคยอยู่ด้วยกัน แฟลตที่เคยไปเที่ยวเวลาว่าง เปิดประตูเข้าไปเจอตู้เย็นที่มีของขวัญที่ผมทำให้ เจอโซฟาที่เคยมานอนหนุนตัก เจอทีวีที่เคยดูหนังด้วยกัน
ในโรงพยาบาลก็เจอห้องตรวจ เจอห้องฉุกเฉิน ที่เคยทำงานด้วยกันมา
และอีกหลายๆอย่าง
เธอน่าจะทำใจได้ยากกว่าผมเยอะ
แต่เนื่องจากมีเพื่อนๆพี่ๆที่อยู่รายล้อม รวมทั้งครอบครัวที่อยู่ใกล้ๆ ก็คงพอที่จะพยุงเธอไปได้
...
หลังจากที่แยกกันอยู่คนละโรงพยาบาล

ความคิดถึงก็มากเป็นทวีคูณ แต่ผมเองก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะมีแต่รถมอไซค์
ก็เลยได้แต่เฝ้ารอให้เธอมาหาแทน เธอจะมาหาเวลาลงเวรเช้า บางทีลงเวรบ่ายก็จะมาหา
ระยะห่างราวๆ 150 กว่ากิโล แต่แม่คุณขับมาหายังกับออกมาซื้อน้ำปลาหน้าปากซอย
ไปกลับ ราวๆ 300 กิโล แต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอลำบากอะไรเลยที่จะมาผู้ชายดีๆอย่างผม 555

แต่ละครั้งที่มาหากัน เป็นช่วงเวลาที่พิเศษมาก สัปดาห์ละ 3-4 วัน แต่บางครั้งก็เหมือนจะสั้นไปซักหน่อย
บางทีลงเวรเช้าตอนสี่โมงเย็น เธอก็มาถึงเกือบหกโมงเย็น พอเกือบๆสี่ทุ่มก็ต้องขับรถกลับไปขึ้นเวรดึกต่อ

วันหนึ่งก็ได้ตกลงกันว่าจะไปเที่ยวต่างจังหวัดกันหน่อย นานๆที
มีเวลาน้อยไปหน่อยคือ 2 วัน 1 คืน แต่ก็น่าจะโอเคแล้ว

ที่ที่เราไปคือ ไร่เลย์

เหมือนกับอยากย้อนความหลัง ถึงตอนที่เราไปเที่ยวด้วยกันครั้งแรก
ตอนนั้นที่ไปเพราะดันไปหลงเชื่อโฆษณาตัวหนึ่ง แล้วคิดว่าน่าจะเหมือนๆกัน
พอไปถึง ... พ่องงงงงงงงงงงงงงงงงง ... โคตรผิดหวัง
นี่มันดงรีสอร์ทชัดๆ มีแต่คนเต็มไปหมด มีรีสอร์ทกระจุกกันอยู่ ชายหาดก็ร้อนเปรี้ยงๆ ฝรั่งจับจองที่กันเกือบเต็มหาด

นี่กูมาทำอัลไล? ...

ที่ที่เค้าออกโฆษณา เป็นพื้นที่เท่าปลาทองดิ้นตายแถวริมๆด้านโน้นนนนนนน แค่นั้น ... นึกไปถึงเรื่องแดจังกึมที่ใช้บ้านหลังเดียวเป็นสถานที่ถ่ายทำ 555
แต่เป้าหมายของการมากครั้งนี้ ไม่ใช่แค่จะมาพักผ่อนเพียงอย่างเดียว
....
ใช่แล้ว ... ผมจะขอเธอแต่งงาน … และนี่จะเป็นเหตุผลเพียงข้อเดียวที่จะให้เธอมาอยู่กับผมให้ได้
...
..
.
พอก่อน ไม่จบแฮะ 555 พรุ่งนี้ละกันนะ น่าจะจบจริงๆละ

ปล. น่าจะจบก่อนจะได้จิ้นถึงนังบาลโหด 555